“เราคิดว่าพลังใจพลังความรักมันมีจริง ก็เหมือนกับพลังความร้อน พลังความเย็นมันมีจริงแม้เรามองไม่เห็นแต่เรารู้สึกได้ ก็เหมือนกับเราก็ใช้พลังความรักนี้ถ่ายทอดไปให้กับคนไข้ของเรา ครั้งแรกก็เริ่มในโรงพยาบาลวชิระก่อน พี่ไปเยี่ยมคนไข้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีใครบอก  พี่ไปแนะนำตัวเลยว่าเราเคยผ่านภาวะนี้มาแล้ว เราเข้าใจเลยว่าคุณรู้สึกอย่างไรครอบครัวรู้สึกอย่างไร  ทุกคนก็จะมีความรู้สึกเหมือนกับเราที่เรียกว่าตายก่อนตาย” 

The Good News Asia มีโอกาสได้พูดคุยกับ พี่แอ้ – พรวรินทร์ นุตราวงศ์  อดีตพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ฝ่ายการพยาบาล คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ผู้สร้างพลังใจด้วยการ “กอด” ที่ไม่ใช่การรักษาโรคแต่เป็นการให้ทั้งพลังและกำลังใจ  ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเมตตาและความภาคภูมิใจ ที่ได้ทำหน้าที่จิตอาสาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนที่จะจากโลกนี้ไปว่า  ปัจจุบันพี่เกษียณแล้วตอนนี้อยู่บ้าน แต่ก็ยังมีคนรู้จักโทรมาปรึกษาอยู่เรื่อยๆ ก็จะให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์

ก่อนสถานการณ์โควิดมีกิจกรรม “กอด” เยอะมากตั้งใจว่าจะทำทั่วประเทศ และจะไปเยี่ยมทุกเคสไม่ว่าจะบ้านไกลหรือใกล้ก็จะพยายามไป ถ้าเคสไหนพอมีฐานะก็ให้ส่งรถมารับ พี่แอ้ก็จะไปจัดการให้ว่าเคสนี้ควรจะอย่างไร พอมามีโควิดทำไม่ได้มา 2 ปีแล้วรู้สึกเสียดาย  ช่วงนี้ก็จำเป็นต้องเว้นไปแต่ใช้การพูดคุยทางโทรศัพท์อย่างเดียว

ถ้าวิกฤตจริงๆดึกดื่นเที่ยงคืนยินดีให้โทรฯหาไม่ปิดมือถือ

“โทรหาพี่ได้ทุกเมื่อดึกดื่นเที่ยงคืน โทรได้เลยพี่ไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ ถ้าวิกฤตจริงๆโทรมาได้ พี่ยินดีที่จะช่วยเหลือเขา  บางทีเสียงโทรศัพท์มันก็เหมือนเสียงสวรรค์ในความมืดมิดที่ครอบครัวเขาประสบอยู่ เขาไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อไป เวลาใครมีปัญหาอะไรถ้าจะปรึกษาก็ให้โทรมา บางทีพี่แอ้ไม่ได้ช่วยเรื่องเงินแต่ช่วยด้วยคำพูดและเทคนิควิธีที่เปลี่ยนแนวความคิด พลิกนิดเดียวให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแนวคิดมันก็จะผ่านไปได้

ผู้ป่วยบางเคสพอเราพูดปุ๊บครอบครัวเขาก็ฟังเรา จะบอกขั้นตอนต่างๆ ญาติผู้ป่วยก็จะบอกอาการว่าเป็นอย่างที่เราพูดทุกอย่าง เพราะขั้นตอนการตายกระบวนการตายมันคงที่อยู่แล้ว ถ้าเป็นการตายตามธรรมชาติเพียงแต่ว่าถ้าเราไปฝืน เช่น เอาไปปั๊มหัวใจมันก็ไม่ใช่ตามธรรมชาติ ถ้าเขาอยากอยู่บ้านพี่ก็จะถามเขาว่าพ่อสั่งเอาไว้ว่าอยากอยู่ที่ไหน ถ้าพ่อบอกว่าอยากอยู่ที่บ้านก็ให้อยู่ที่บ้านเลย ไปโรงพยาบาลก็ตายอยู่บ้านก็ตายให้พ่อทำในสิ่งสุดท้ายที่พ่อต้องการ  อยู่บ้านแล้วให้สังเกตดูอาการของพ่อ เพราะว่าช่วงนี้จะมีสารตัวหนึ่งในร่างกายที่ชื่อว่า “คีโตน” ที่จะสูงมาก สารนี้หลั่งออกมาแล้วคือสารธรรมชาติที่สร้างให้กับคนไข้ก่อนตายมีความสุข พี่บอกญาติคนไข้ว่าให้ลองสังเกตพ่อ ดูว่าที่พ่อเคยบ่นหรือร้องปวดไม่ร้องแล้วใช่หรือไม่ ถ้าพ่ออยากอยู่บ้านก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เขาจะได้จากไปอย่างมีความสุข

ญาติคนป่วยพอได้คุยกับพี่แอ้แล้วเขาก็รู้สึกแฮปปี้ ก่อนหน้านั้นเขารู้สึกว่าถ้าพ่อเป็นอาการอย่างนี้ๆ หรือถ้านำไปโรงพยาบาลพ่อจะทนได้หรือไม่ พี่แอ้ก็อธิบายให้ฟังว่าพ่อจะสงบไปเรื่อยๆ ปัสสาวะออกน้อย หายใจช้าลง แล้วก็อาจจะมีภาวะสุดท้ายที่เขารวมพลังตามธรรมชาติอีกครั้ง คือ ลืมตาขึ้นมามองทุกคน พี่เคยบอกญาติของผู้ป่วยว่าหนูอย่าร้องไห้หนูบอกพ่อไปเลยว่า ขอบคุณพ่ออโหสิกรรมพ่อๆอโหสิกรรมให้หนูที่เคยทำไม่ดีกับพ่อเอาไว้ด้วย แล้วก็ขอให้พ่อเดินทางไกลอย่างมีความสุข พูดแต่สิ่งดีๆให้พ่อฟังไปเลยว่าการเดินทางไกลไม่ได้น่ากลัว อย่างที่ใจมันสั่งว่าน่ากลัว สำคัญมากช่วงสุดท้ายขอให้จับมือพ่อไว้อย่าปล่อย  บอกให้พ่อรู้ว่าลูกมาส่งแล้ว พี่แอ้ก็จะบอกทางโทรศัพท์อย่างนี้ไปเรื่อยๆเขาก็จะทำตาม

ยินดีให้คำปรึกษาทุกโรค ไม่เฉพาะมะเร็ง แนะ ให้มองมุมบวก
บางคืนอาจจะโทรมา 4-5 เคส เป็นเรื่องของการเจ็บป่วยของคนที่เขารัก พี่ยินดีให้คำปรึกษาทุกโรคไม่เฉพาะมะเร็งเท่านั้น พอแนะนำแล้วก็รู้สึกมีความสุข ทำให้คนที่มีความทุกข์สบายใจขึ้น  ไม่เคยคิดว่าพี่จะต้องอดหลับอดนอน เพราะตอนนี้เกษียณแล้วตื่นกี่โมงก็ได้ 9 โมง 10 โมงก็ได้ไม่มีอะไรที่ต้องรีบเร่งกับชีวิตแล้ว  บางคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็งก็ตกใจกลัว พอหมอบอกแผนการรักษาก็ยิ่งช็อคเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ได้เตรียมรับข่าวร้าย พอเขาได้รับข่าวร้ายก็เหมือนถูกทุบหัวมา แล้วพอมาคุยกับพี่แอ้พี่ก็เข้าใจแล้วก็ค่อยๆพูดคุยกับเขา เล่าให้เขาฟังว่าวิธีการของหมอเป็นอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร ซึ่งพี่แอ้ก็จะบอกกับเขาว่าคุณเป็นมะเร็งก็ถือว่าโชคดีแล้ว
เพราะถ้าคุณประสบอุบัติเหตุ คุณตายแล้วคุณไม่ได้ลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างนี้หรอกฉะนั้นใครบอกว่าเป็นโรคอะไรมาพี่แอ้ก็บอกว่าเขาโชคดีหมดที่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เคยบอกเขาโชคร้าย  ถ้าเกิดเป็นโดยที่เราไม่รู้ตัวสมมุติว่าอยู่ๆโผล่มาตายเลย เรายิ่งช็อคเข้าไปใหญ่เพราะไม่ได้เตรียมตัว แต่อันนี้ครอบครัวได้เตรียมตัวได้รับรู้ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน มันคือพลังแห่งความรัก เราก็จะบอกให้เขาดูแลกัน กรณีเคสมะเร็งอยากจะรักษาวิธีการไหน  จะเป็นแพทย์ทางเลือกหรือไม่อย่างไร เปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าดีแตกต่างกันอย่างไร เขาจะได้ไม่มานั่งเสียใจแล้วคิดว่าทำไมถึงไม่ทำ

พี่แอ้ บอกว่า หลายเคสเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกัน เขาขอบคุณที่เราสามารถทำให้พ่อแม่พี่น้องเขา ก่อนตายมีความสุขในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ละเคสก็สอนเราเคสคนรวยกับคนจนไม่เหมือนกัน  เคสคนรวยเราบอกว่าเขาโชคดีถึงแม้ว่าคุณจะล้มแต่ก็ล้มบนฟูกบนกองดอกกุหลาบ ยังมีคน support  อยากได้อะไรก็ได้หมดโชคดีกว่าคนไข้อีกกลุ่ม ที่จนมากๆพอรู้ว่าตัวเองป่วยปุ๊บความทุกข์มันประดังมากขึ้นๆ เช่น คิดว่ายังไม่ได้จ่ายค่าเทอมลูก ลูกจะเป็นยังไง จะทำมาหากินยังไงมันเยอะมาก

ซึ่ง 2 เคสนี้ดูแลต่างกัน คนรวยจะให้กำลังใจแล้วถ่ายทอดกำลังใจให้กับครอบครัวเขา ให้กำลังใจต่อๆกันไปให้เห็นสัจธรรมของชีวิต  พี่จะบอกว่าทุกคนต้องเดินทางไกล เหมือนกับเราไปเที่ยวเพียงแต่ว่าครั้งนี้เราไปเที่ยวแล้วไม่ได้กลับมา เราก็ต้องเตรียมเสบียงให้พร้อมคือให้เขาได้ทำบุญ  เขาก็จะรู้สึกว่าเป็นการเตรียมชีวิตได้อย่างดี เร่งทำบุญในเวลาที่เหลืออยู่  จะเป็นวิธีไหนมากหรือน้อยตามแต่ละศาสนาได้หมดเลย    อาจจะไม่ต้องทำกับพระแต่ทำกับคนจนหรือคนที่ไม่มีก็ได้ บางทีพี่ก็แนะนำจากคนรวยไปให้คนจนเคสที่ดูแลอยู่  บอกเขาว่าเคสนี้มีปัญหาแย่กว่าคุณเยอะ ไม่มีจะกินแล้วยังไม่มีงานทำด้วย

แบ่งเงินจากงานไว้ใต้ฐานพระ เป็นสะพานบุญช่วยคนไข้ยากไร้
ส่วนคนจนพี่แอ้จะ support  โดยให้เงินที่เก็บไว้ใต้ฐานพระ เป็นเงินที่ทำงานแล้วได้เงินมา  ก็จะแบ่งไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปทุกครั้ง  เงินก้อนนี้เป็นเงินทำบุญของเราเพียงแต่ว่าไม่ได้ให้กับพระ แต่ไว้ใต้ฐานท่านเพื่อขอนำไปให้กับคนที่ไม่มีต่อไป บางครอบครัวพี่อาจจะให้ครั้งละ 300 , 500 หรือ 1,000 บาท แล้วแต่ที่เรามอง เพราะพี่ต้องประเมินตัวเราเองด้วย

คิดว่าครอบครัวนี้เป็นอย่างไรควรให้เท่าไหร่ ไม่ได้ให้เป็นก้อนใหญ่ แต่เพื่อให้เขาอยู่ได้ในวันที่ต้องอยู่ ช่วงที่พี่แอ้เป็นวิทยากรและขายหนังสือที่เขียนเอง คือ “หัวใจเล็กๆกับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่” กับ “หัวใจเล็กๆกับแสนล้านความสุข” เมื่อได้กำไรจากหนังสือพี่แอ้ก็ใส่ใต้ฐานพระอีก เงินก้อนนี้จะเติบโตไปเรื่อยๆ บางครั้งมีคนรู้เรื่องก็จะช่วยบริจาค เขาก็บอกว่าฝากใต้ฐานพระด้วย 100 , 200 , 500 แล้วแต่  เราก็จะบอกว่าเงินนี้เราให้กับคนไข้ที่มีปัญหาที่เรารู้จักจริงๆ ส่วนจะให้ใครยังไงบางทีก็อยู่ที่บุญของแต่ละคน ที่มาเจอกับพี่ ก็คงต้องเคยทำบุญร่วมกันมาได้ช่วยเหลือกัน เราไม่ได้มีกำลังมากขนาดนั้นที่จะช่วยเหลือทั้งประเทศ

พลังกอด ทำให้สามีหายป่วย กลายมาเป็นจิตอาสาช่วยงาน

พี่แอ้ เล่าย้อนให้ฟังว่า เคยเป็นพยาบาลดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนเกษียณประมาณ 10 ปี  โดยเริ่มจากสามีป่วย ( คุณภุชงค์ นุตราวงศ์  อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ) ตอนนั้นเกิดความคิดขึ้นมาว่าใครๆก็ต้องตาย แต่ก่อนตายอยากให้เขาตายอย่างมีความสุข อย่าต้องทนทุกข์ทรมาน ก็ดูแลสามีด้วยการให้ความรักที่เรียกว่า “การกอด” กอดเช้ากอดเย็นแล้วก็คิดว่าอีกไม่นานก็จะไม่มีเขาให้กอดแล้ว ก็เลยกอดมากๆและทุกครั้งที่กอดเราก็จะเพิ่มความรักความเข้าใจ เพิ่มความปรารถนาดีให้กับเขาตลอด ก็สัมผัสโดยใจสู่ใจก็ผ่านวิกฤติมาได้ 15 ปีและมีชีวิตที่แข็งแรงดี อยู่จนทะเลาะกันแล้ว

ปัจจุบันคุณภุชงค์ ยังเป็นจิตอาสาช่วยพี่แอ้ หากมีเคสระดับผู้ใหญ่ อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกระทรวง อธิบดี ฯลฯ เจ็บป่วย ซึ่งคนตำแหน่งดังกล่าวมักจะไม่ค่อยเชื่อใคร เพราะตำแหน่งเขาใหญ่มาตลอด  พี่แอ้จะให้สามีไปพูดคุยเพราะคุณภุชงค์ ก่อนเกษียณก็มีตำแหน่งใหญ่ก็จะคุยกันรู้เรื่อง และแนะนำไปว่าเคยผ่านช่วงเวลาทุกข์ เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว ก็จะตรงกับคนที่ป่วยอยู่พอดีเขาก็จะเข้าใจและรับฟัง

คิดบวกประสบการณ์ชีวิต ทำให้รู้ใจคนป่วย

“ประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของคนที่เจ็บป่วย ต้องฟังเขาก่อนระบายออกมาให้หมดอย่าไปขัด แล้วประมวลออกมา ปัญหาคืออะไรจะแก้ไขให้ทีละเปลาะ นอกจากนี้ยังเป็นคนคิดบวก เมื่อมีคนโทรมาปรึกษาก็จะแนะนำจบเป็นเคสๆไปจะไม่นำมาคิดต่อ  ส่วนหลักในการดำเนินชีวิต  คือ Here&Now” ทำวันนี้ให้ดีที่สุดและทำเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปรอ ไม่ต้องไปสนใจอนาคต แต่ถ้าทำตอนนี้ให้ดีอนาคตมันต้องดีแน่นอน กับ push the limit for better life นั่นคือก้าวข้ามขีดจำกัดของชีวิต ถ้าเราทำไม่เต็มที่พอผ่านไปถึงอนาคต เราก็จะหันมามองแล้วคิดว่ารู้อย่างนี้เราน่าจะๆ มันสายก็ไปแล้วไม่มีโอกาสแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำตอนนี้เราจะได้ไม่เสียใจ”  พี่แอ้ บอกทิ้งท้าย

หากมีปัญหาในการดูแลผู้ป่วยวิกฤติ  ติดต่อขอคำปรึกษา พี่แอ้ – พรวรินทร์ นุตราวงศ์ ได้ที่ โทร.084 354 0303

 

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here