คำเทศนาจากวัดป่าทรัพย์ทวี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๘ เพื่อประกาศประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนได้รับทราบ เพื่อจะได้รู้จัก “มูลนิธิกาญจนบารมี” มูลนิธิกาญจนบารมีได้จัดตั้งเมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่สถานพักฟื้นผู้ป่วยโรคมะเร็งธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พระองค์ทรงทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรและผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องรอรับการรักษา ผู้ที่ยังไม่ป่วยเป็นมะเร็งต้องได้รับการตรวจคัดกรอง เพราะโรคมะเร็งเป็นภัยเงียบ ประชาชนชาวไทยสมควรที่จะได้รับการตรวจสุขภาพทุกคน เพื่อตรวจคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งขึ้น เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยในจังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับเป็นองค์ประธานในการระดมทุน เพื่อจัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็ง ภายใต้ชื่อ “โครงการกาญจนบารมีเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ปี พุทธศักราช ๒๕๓๙” โดยมีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ร่วมทูลเกล้าถวายเงินในการสร้างศูนย์ดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นปี ที่ ๕๐ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ จึงได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตใช้พระนามของพระองค์เป็นชื่อศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งว่า “ศูนย์มหาวชิราลงกรณ ธัญบุรี” ภายหลัง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี” และเสด็จวางศิลาฤกษ์อาคารวิปัสสนา ฟังธรรม พร้อม พระราชทานชื่อใหม่ว่า “ศาลาธรรมานุภาพ” เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙ และทรงพระราชทานเงินในการก่อสร้างอาคารต่างๆ ของโครงการกาญจนบารมี เป็นเงิน ๔๖๒ ล้านบาท โดยการสนับสนุนของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบต่อเนื่อง ด้วยวิธีรังสีรักษา และเคมีบำบัด ให้การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคมะเร็ง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และเป็นสถานที่พักสำหรับผู้ป่วยที่มารอตรวจวินิจฉัยและรอรับการรักษา รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ ตามเป้าหมายทุกประการ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการของโครงการกาญจนบารมี ดำเนินการจัดตั้ง “มูลนิธิกาญจนบารมี” ขึ้นโดยได้รับการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นเวลายาวนานผ่านมาแล้ว ๒๘ ปีมะเร็งเต้านมเป็นเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีทั่วโลก จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก พบว่าในปี ๒๕๖๓ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรายใหม่ทั่วโลก ๒.๓ ล้านคนต่อปี เสียชีวิต ๖๘๕,๐๐๐ คน และมีผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมมีชีวิตอยู่ถึง ๗.๘ ล้านคน มะเร็งเต้านมก็เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีไทยสตรีต่างประเทศ โดยพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ ๒๒,๑๕๘ คนต่อปี เสียชีวิต ๘,๒๖๖ คนต่อปี หรือทุก ๑ ชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ๑ ราย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ด้วยการตรวจเต้านมตัวเอง จะสามารถพบก้อนขนาด ๒ เซนติเมตรขึ้นไป จะมีโอกาสรักษาหายขาดได้ร้อยละ ๗๐ หากพบขนาด ๕ เซนติเมตรขึ้นไป มีโอกาสรักษาหายร้อยละ ๓๐ แต่มีอีกวิธีคือ การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านมแมมโมแกรม ซึ่งสามารถค้นพบก้อนตั้งแต่ขนาด ๒-๓ มิลลิเมตร ก็สามารถจะรักษาให้หายขาดได้เกือบทั้งหมด แต่การเอกซเรย์เต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรมไม่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเข้าถึงการบริการได้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิกาญจนบารมี จัดทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ ที่ใช้รถบัสคันใหญ่ จำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คันต่อหน่วย ไปตรวจคัดกรองทุก ๆ อำเภอ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการคัดกรอง เพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช ที่อาจจะเกิดกับทุก ๆ สุภาพสตรีได้ ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาสทั่วทุกอำเภอทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งไม่มีโอกาสได้ไปพบแพทย์พบหมอ ทางมูลนิธิกาญจนบารมีจึงได้จัดแพทย์และหมอ ไปตรวจคัดกรองประชาชนในทุก ๆ อำเภอของประเทศไทย ได้ทำงานติดต่อต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบัน ได้ตรวจคัดกรองผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งไปแล้วประมาณหนึ่งล้านคน พบที่เป็นมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกมากกว่า ๖,๙๐๐ คน ทั้งหมดได้รับการส่งต่อไปรักษาจนหายขาดเกือบทั้งสิ้น ปัจจุบันมูลนิธิกาญจนบารมีมีหน่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมจำนวน ๔ หน่วย ๑หน่วยประจำ ๑ ภาค คือ เหนือ กลาง ตะวันออกเฉียงเหลือและใต้ โดยทั้ง ๔ หน่วย ให้บริการพร้อมกันวันละ ๑ อำเภอทุกวันเวลาราชการ
เนื่องจากศูนย์โรคมะเร็งอยู่ส่วนกลาง ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ ซึ่งประชาชนผู้อยู่ต่างจังหวัดและในชนบทที่ห่างไกลเข้าถึงได้ยาก ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิกาญจนบารมี จึงมีพันธกิจในการนำแพทย์พยาบาลออกไปหาชาวบ้าน ออกไปหาประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษา และลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน ไม่สามารถจะเดินทางไปพบแพทย์หาพยาบาลได้ สุภาพสตรีทุกคนจะได้รับการตรวจคัดกรอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อตรวจพบสตรีกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง จะได้หาวิธีแก้ไขเพื่อปลอดภัยจากการเป็นโรคมะเร็ง ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง จะได้ส่งไปยังสถานพยาบาลที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง จะได้มีหลักการในการปฏิบัติตัวเอง เพื่อความรู้ความเข้าใจเพื่อปลอดภัยจากการเป็นโรคมะเร็ง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว จะได้รับการรักษาอย่างติดต่อต่อเนื่อง จากแพทย์พยาบาลผู้ชำนาญอย่างเอาใจใส่ โรคมะเร็งต้องรีบรักษาอย่างรวดเร็วทันที ผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เบื้องต้นนั้น สามารถรักษาหายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระยะที่ ๓ ปลาย ๆ และระยะที่ ๔ แล้ว ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้เพื่อให้การทำงานของมูลนิธิกาญจนบารมีได้ติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นโครงการถาวรที่อยู่คู่กับประเทศไทย ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยความสมัครสมานสามัคคี จึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนชาวไทยรับทราบ เพื่อรวมพลังสามัคคีเสียสละสนับสนุนโครงการ ซึ่งโครงการนี้ เป็นโครงการที่บริสุทธิ์ โปร่งใส ผู้บริหารทุกท่าน ไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนใด ๆทั้งสิ้น ผู้บริหารมูลนิธิกาญจนบารมี ได้คัดกรองคณะกรรมการผู้บริหาร ได้คัดกรองเอาเฉพาะท่านผู้ที่เสียสละ ที่ยกเลิกตัวตน ไม่หวังผลอะไรตอบแทน เป็นความดีเป็นบารมีที่บริสุทธิคุณ ไม่มาเอาค่าใช้จ่ายจากการทำงาน ค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ไม่เอาค่าส่วนต่างจากการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การแพทย์และยา หรือว่ากิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิกาญจนบารมีนี้ โครงการนี้จึงเป็นโครงการสีขาว เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจากการเสียสละสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน จะนำไปใช้จ่ายเฉพาะเท่าที่จำเป็น เช่น เงินเดือนแพทย์พยาบาล ค่าน้ำมันในการเดินทางไปทำงาน เป็นต้น
เพื่อให้การทำงานของมูลนิธิ เป็นโครงการถาวร ทางมูลนิธิจึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเป็นเจ้าภาพร่วมกัน เสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาทต่อปี ให้กับมูลนิธิกาญจนบารมี มูลนิธิก็จะอยู่ได้ด้วยเงิน ๑ บาทของเราทุกคนที่ได้เสียสละ ถ้าใครมีเงินมากมีกำลังทรัพย์มาก ก็สามารถให้การสนับสนุนมากกว่า ๑ บาทได้ และบริจาคได้ทุกเมื่อ ทุกวัน เวลา ปัจจุบันนี้การโอนเงินบริจาคนั้นก็สะดวกสบาย ใช้การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่นออนไลน์ โดยไม่ต้องไปธนาคาร โดยสามารถร่วมบริจาคทางบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขางามวงศ์วาน ชื่อบัญชีมูลนิธิกาญจนบารมี บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ ๓๔๐-๒๑๑๓๑๒-๒ (การบริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึงสองเท่า) โดยทุกท่านสามารถร่วมสนับสนุนโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่มูลนิธิกาญจนบารมี เบอร์โทรศัพท์ ๐๒-๕๙๐๔๙๗๔ และ ๐๖๕-๘๒๓๑๔๔๗ ในเวลาราชการ
“๑ บำท ๑ การให้ มอบลมหายใจ มอบชีวิต” มูลนิธิกาญจนบารมี จะมั่นคงถาวรอยู่ได้เพราะเงิน ๑ บาท ที่เราเสียสละสนับสนุนอย่างติดต่อต่อเนื่อง จะได้เป็นพื้นเป็นฐานเป็นขบวนการที่ถาวรยั่งยืน เป็นความดีและปัญญาติดต่อต่อเนื่อง เป็นการเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ โครงการคัดกรองมะเร็งเบื้องต้นนี้ เป็นโครงการที่ดีมาก ดีจริง ๆ มีประโยชน์ต่อส่วนรวม มีประโยชน์ต่อมหาชน โครงการนี้จะก้าวไปได้ด้วยความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ จึงได้ประกาศประชาสัมพันธ์ให้มหาชนได้รับทราบทั่วกัน เพื่อความสมัครสมานสามัคคี เป็นความดีที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นปัญญาประกอบด้วยความดี ปัจจุบันปี พ.ศ. ๒๕๖๘ นี้ ประเทศไทยเรามีประชากรในทะเบียนราษฎร์ ๖๕,๙๓๒,๑๐๕ คน ถ้าประชาชนทุกคนมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีความสมัครสมานสามัคคี ก้าวไปด้วยความดีและปัญญา เสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิกาญจนบารมี เพื่อให้แพทย์พยาบาลไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช ระยะต้นระยะกลาง เพื่อไม่ให้สายเกินแก้ ทางมูลนิธิก็จะมีเงินในการบริหารการทำงาน จากความสมัครสมานสามัคคี จำนวน ๖๕,๙๓๒,๑๐๕ บาท คำนวนจากประชากรของประเทศ ซึ่งสามารถบริหารโครงการได้เป็นเวลา ๑ ปี ในขณะนี้ ทางมูลนิธิได้ใช้เงินบริหารโครงการเดือนละ ๔ ล้านกว่าบาท ใช้เงินกันอย่างประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ผู้บริหารมูลนิธิทุกคน ไม่รับค่าตอบแทนเงินเดือนในการบริหาร เงินส่วนนี้นำไปใช้เฉพาะเงินเดือนแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่พนักงาน และค่าน้ำมันรถ จึงประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เสียสละเป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกท่าน ได้พากันเข้าใจตามนี้
การทำงานของมูลนิธิกาญจนบารมี ซึ่งเงินส่วนนี้ได้มาจากผู้มีศรัทธาผู้มีกำลังทรัพย์ได้เสียสละบริจาค แต่ก็รับรู้กันเป็นส่วนน้อย ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทราบว่ามูลนิธิกาญจนบารมีนี้ ทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งนรีเวช เงินเหล่านี้ได้มาจากการบริจาคของประชาชน ไม่ได้รับงบประมาณจากงบประมาณแผ่นดิน ที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ที่ผ่านมาทางมูลนิธิทางานมาด้วยความยากความลำบาก เพราะขาดแคลนในการสนับสนุน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อมูล เพื่อให้การดำเนินการโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ มูลนิธิกาญจนบารมี มองด้วยเหตุผลเห็นความจำเป็น จึงได้ประชาสัมพันธ์แจ้งไปยังประชาชนชาวไทยเพื่อความสมัครสมานสามัคคีพร้อมเพรียงเสียสละบริจาคเงินคนละ ๑ บาท เพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิได้ทำโครงการอย่างถาวร เป็นโครงการที่อยู่คู่กับประเทศไทย
ในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เวลา ๑๓.๓๐ น. ทางมูลนิธิกาญจนบารมี จึงขอเรียนเชิญข้าราชการนักการเมืองพ่อค้าประชาชน ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัด มาร่วมเป็นเจ้าภาพในการทอดผ้าป่ามหากุศล “เพื่อรวมพลังสามัคคี ช่วยชีวิตสตรีไทย ห่างไกลมะเร็งเต้านม” ณ ท้องสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยได้รับความเมตตาจาก เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม วัดราชพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม มาเป็นประธานร่วมฝ่ายสงฆ์ และได้รับเกียรติจาก พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
สาหรับท่านที่อยู่ไกล อยู่ต่างจังหวัด ก็สามารถส่งซองผ้าป่าของมูลนิธิกาญจนบารมี รวมที่ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น ๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะได้รวบรวมโอนเงินไปยังมูลนิธิกาญจนบารมี จึงขอเรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่า“เพื่อรวมพลังสามัคคี ช่วยชีวิตสตรีไทย ห่างไกลมะเร็งเต้านม” เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน บูชาคุณพระศาสนา เทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์การประชาสัมพันธ์ขอจบลงเพียงเท่านี้
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ที่เป็นทั้งความสงบและปัญญา เป็นปัญญาและความสงบ เป็นการเข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ จงอำนวยอวยชัยให้ท่านทั้งหลายเข้าถึงความสงบและปัญญาในปัจจุบัน เพราะเหตุผลว่า อดีตก็มารวมกันที่ปัจจุบันแล้ว อนาคตที่จะไปข้างหน้าก็มารวมที่ปัจจุบันแล้ว ปัจจุบันถึงเป็นวาระแห่งชาติทั้งกายวาจากิริยามารยาทอาชีพ มารวมลงที่ความสงบและปัญญา มารวมลงที่ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ เป็นการเข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ เป็นประภัสสรด้วยความรู้ความเข้าใจ เรารู้เราเข้าใจ เราจะได้เข้าถึงความสงบและปัญญา เราคิดดูดี ๆ นะ เราอยากได้มากมันก็ไม่มากมันก็เท่าเก่า เราอยากได้น้อยมันก็ไม่น้อยมันก็เท่าเก่า ความรู้ความเข้าใจนั้นเป็นความรู้ รู้วัตถุรู้ทั้งใจไปพร้อม ๆ กัน เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงเพียงพอ ดังพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ตรัสกับพสกนิกรชาวไทยและชาวโลกให้เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอ
ประเภทของคนจน คนจนในโลกนี้มีอยู่ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. จนเพราะไม่มี คือคนที่ขัดสนทรัพย์ มีทรัพย์น้อย จัดว่าเป็นคน “จนชั่วคราว” ถ้าหากทำมาหากินถูกช่องทาง ย่อมมีโอกาสรวยได้ ๒. จนเพราะไม่พอ คือคนที่มีทรัพย์มากแต่ไม่รู้จักพอ จัดว่าเป็นคน “จนถาวร” เป็นเศรษฐีอนาถา ต้องจนจนตาย สันโดษ คือการรู้จักพอ จึงเป็นคุณธรรมที่มหัศจรรย์ สามารถทำให้คนเลิกเบียดเบียนกัน เลิกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เลิกสะเพร่า เลิกสงคราม ทำให้คนอิ่มใจได้แม้มีทรัพย์ มียศ มีตำแหน่งน้อย และทำให้คนรวยเป็นเศรษฐีได้โดยสมบูรณ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ ความสันโดษเป็นยอดทรัพย์” พระพุทธองค์ทรงเคยเทศนาให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง ว่าด้วยความสุขของคฤหัสถ์ที่เรียกว่า “คิหิสุข” ประกอบด้วยธรรมะ ๔ ประการ คือ อัตถิสุข หรือ ความสุขเกิดจากการมีทรัพย์ โภคสุข หรือ ความสุขเกิดจากการได้จ่ายทรัพย์ อนณสุข หรือความสุขจากการไม่มีหนี้ และอนวัชชสุข หรือ ความสุขจากการทำงานไม่มีโทษ” ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
๑) อัตถิสุข ความสุขจากการมีทรัพย์ที่ได้มาด้วยความชอบธรรม ไม่ได้มาจากการประกอบอาชีพที่ต้องห้าม หรือจากการทำความเดือดร้อนให้คนอื่น
๒) โภคสุข สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค สอนให้จ่ายแต่ต้องจ่ายถูกต้องเหมาะสม มองเห็นความจำเป็นความสำคัญ เข้าถึงคุณค่าแท้ของสิ่งนั้นๆ มิใช่จ่ายเพราะเพื่ออวดโก้อวดรวยเพื่อต้องการแสดงฐานะ แสดงให้เห็นว่ายังจมปรักอยู่กับคุณค่าเทียมของใช้จ่าย การบริโภค
๓) อนณสุข สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ อันนี้ถือว่าเป็นประเด็นที่สาคัญ จะยากดีมีจนเพียงใดแต่ต้องไม่เป็นหนี้ มีมากมีน้อยเพียงใดแต่ต้องไม่มีหนี้สิน เหตุนั้นการพัฒนาแบบจากยากจนแล้วก้าวกระโดดไปสู่ความเป็นผู้มีหนี้สิน จึงเป็นความผิดพลาดจากหลักการนี้ โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นการไม่เป็นหนี้ เป็นหนึ่งในความสุขแบบที่คนธรรมดาพึงต้องการในปัจจุบัน เราเป็นทาสแห่งการมอมเมาให้เราบริโภคผ่านสื่อทุกประเภท ตั้งแต่เราตื่น จนถึงกำลังจะนอน เราเหมือนถูกสะกดจิตทางอ้อมว่า คุณต้องมีสิ่งนี้นะ คุณต้องใช้แบบนี้นะ คุณถึงจะดูดี มีความสุข เราจึงติดกับดักหนี้สินกันมากมาย บางคนตายไปแล้ว ลูกหลานยังต้องผ่อนต่อ ก็มีให้เห็นถมเถไป และอันเป็นที่มาของทรัพย์มีความสำคัญไม่น้อย เราจะมองแต่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่มองเหตุที่ได้มาซึ่งทรัพย์ ได้มาโดยสุจริตหรือไม่อีกด้วย นั่นคือ การดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรมเช่น ยึดมั่นในศีล ๕ เป็นต้น ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนหรือเป็นพิษภัยต่อบุคคลอื่น สรุปสั้นๆ คือ “มีเงิน ได้ใช้เงิน ไม่เป็นหนี้ และมีงานทำ”
พระพุทธองค์สอนให้ขยันในการแสวงหา ตามหลักของทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ คือ
๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในกาประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีพก็ดี ในการศึกษาเล่าเรียน ในการทำธุระหน้าที่ของตนเอง
๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมการเก็บรักษา คือรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่นขยัน รู้จักเก็บออมทรัพย์ ไม่ให้เป็นอันตราย รักษาการงานของตนไม่ให้เสื่อมเสียไป
๓) กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว มีกัลยาณมิตร
๔) สมชีวิตา เลี้ยงชีพตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ไม่ให้ฝืดเคือง ไม่ให้ฟุ่มเฟือยฟูมฟาย ซึ่งเราจะเห็นได้ว่านี้เป็นระบบเศรษฐกิจพื้นฐานในระดับครอบครัว มีเป้าหมายของการพัฒนาอยู่ที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี คือ ให้เกิดความสุขในการดำรงชีวิต วิธีใช้โภคทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ๕ อย่างคือ ๑. เลี้ยงตัว บิดา มารดา บุตร ภรรยาบ่าวไพร่ ให้เป็นสุข ๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข ๓. บำบัดอันตรายอันจะเกิดแต่เหตุต่างๆ ๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ (๑) ญาติพลี = สงเคราะห์ญาติ (๒) อติถิพลี = ต้อนรับแขก (๓) ปุพพเปตพลี = ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย (๔) ราชพลี = ถวายเป็นหลวง มีเสียค่าภาษีอากร เป็นต้น (๕) เทวตาพลี = ทำบุญอุทิศให้เทวดา (นักปราชญ์ชาติบัณฑิต สำเร็จการอยู่ในประเทศสถานที่ใด พึงเชิญเหล่าท่านผู้มีศีล สำรวม ประพฤติพรหมจรรย์ เลี้ยงดูกันในที่นั้น เทพดาเหล่าใด มีในที่นั้น ควรอุทิศทักขิณาทานเพื่อเทพดาเหล่านั้นด้วย เทพดาที่บูชาท่านแล้ว ท่านย่อมบูชาบ้าง ที่นับถือท่านแล้วท่านย่อมนับถือบ้าง ย่อมอนุเคราะห์เขา ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตร ผู้เกิดจากอกบุรุษได้อาศัยเทพดาอนุเคราะห์แล้วย่อม พบแต่สิ่งที่อันเจริญตลอดไป) และ ๕. บริจาคทานในสมณพาหมณ์ผู้ประพฤติชอบ ความจริง สันโดษกับความมักน้อย มันคนละเรื่องกันความมักน้อยนั้นเป็นคำแปลของคำบาลีว่า “อัปปิ จฉะตา” พระพุทธองค์ทรงสอนพระให้ปฏิบัติเกี่ยวกับปัจจัยสี่ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ว่าสิ่งเหล่านี้ให้พระต้องการแต่น้อยพออาศัยยังชีพเพราะชีวิตพระมิใช่ชาวบ้าน จะได้สะสมสิ่งเหล่านี้ไว้มากมาย ส่วน สันโดษ หรือ สนฺตฎฐี นั้น หมายถึง ความภาคภูมิใจในผลสำเร็จที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความสามารถ ด้วยความพากเพียรพยายามของตนในทางที่สุจริตชอบธรรม คนสันโดษมี ๓ คุณลักษณะ คือ คนที่ขยันหา ขยันสร้างสรรค์ (ยถาลาภะ) ทุ่มเทกำลังกาย กำลังสติปัญญาเต็มที่ (ยถาพละ) ในสิ่งที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม (ยถาสารุปปะ) เมื่อได้ผลสำเร็จขึ้นมาแล้วก็ภาคภูมิใจในผลสำเร็จนั้น เพื่อความเข้าใจอย่างแจ่มชัด ขอสรุปลักษณะของคนที่มีความสันโดษดังต่อไปนี้
๑. คนสันโดษ จะต้องเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยสติปัญญาเท่าที่มี และโดยวิธีการอันชอบธรรม
๒. คนสันโดษ จะไม่อยากได้ของคนอื่น หรือของที่ไม่ชอบธรรม จะไม่ทุจริตเพราะปากท้องหรือผลประโยชน์ส่วนตัว
๓. คนสันโดษ เมื่อหามาได้ก็ใช้สอยเท่าที่จาเป็น และใช้ด้วยสติปัญญา ไม่เป็นทาสของวัตถุ
๔. เมื่อไม่ได้ เมื่อสุดวิสัยที่จะได้ ก็ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป ไม่ยอมให้ความผิดหวังครอบงำใจ
๕. หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นของตน หรือเป็นสิทธิของตนสามารถดำรงชีวิตที่มีความสุขตามฐานะ
๖. มีความภาคภูมิใจในผลสาเร็จอันเกิดจากกาลังของงาน มีความอดทน สามารถรอคอยผลสำเร็จอันพึงจะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน
๗. มีความรักและภักดีในหน้าที่การงานของตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าของการงาน เรียก “ทำงานเพื่องาน” อย่างแท้จริง
๘. ไม่ถือเอาสิ่งของที่ตนหามาได้ สมบัติของตน หรือความสำเร็จของตนมาเป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่น ความสันโดษ ความพอดี ความพอเพียงเพียงพอ จึงเป็นมงคลอันสูงสุดประการหนึ่ง ผู้มีปัญญามากก็ต้องมีความสงบมาก ผู้มีความสงบมากก็ต้องเสียสละมาก เพราะสภาวธรรมที่เป็นความสงบและปัญญาจะเป็นหนึ่งจะเป็นความพอเพียงเพียงพอ เป็นประภัสสรไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ด้วยความรู้ความเข้าใจ เราทั้งหลายจะได้เข้าถึงธรรมถึงปัจจุบันธรรม จะได้เข้าถึงธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ เข้าถึงความสงบ เข้าถึงปัญญา เข้าถึงพระนิพพานคือบ้านของเรา ไม่ใช่อวิชชาความหลงเป็นบ้านของเรา เราทั้งหลายจะได้แก้ไขที่เรา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชีวิตนี้ ก็ย่อมพังทลายเช่นเดียวอย่างเดียวกับตึก สตง. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตึกอื่นมีหลายสิบตึกทั่วฟ้าเมืองไทยก็ไม่พัง พังตึกเดียวคือตึก สตง. เพราะเอาความไม่ถูกต้อง เอาทุจริตนำชีวิต เราต้องรู้เข้าใจ เราจะไม่ได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของธรรมสภาวธรรม เราต้องรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงอาคันตุกะสัญจรไปมาชั่วครู่ชั่วยาม สิ่งที่เดิมแท้คือความว่างเปล่า ให้เรารู้เข้าใจจะได้เข้าถึงความสงบถึงปัญญา เข้าถึงความพอเพียงเพียงพอยกเลิกตัวตน เราจะได้เดินทางสายกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตใจไปพร้อม ๆ กัน ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะได้คืนอธิปไตยให้กับธรรมชาติ ความเป็นนิติบุคคลตัวตนมันจะเป็นรัฐประหารมันจะประหารตัวของมันเอง มันจะพังทลายอย่างเดียว เช่นเดียวกับตึก สตง. เราต้องรู้เข้าใจว่า เราเป็นใครก็ต้องแก้ไขที่ตนเองนั้นแหละ เดี๋ยวนี้ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ เราทั้งหลายก็จะไปแก้ที่คนอื่น เป็นข้าราชการก็ไปจะแก้ที่คนอื่น เป็นนักการเมืองก็จะไปแก้ที่คนอื่น เป็นนักบวชก็จะไปแก้ที่คนอื่น ไปแก้คนอื่นมันแก้ไม่ได้ เราดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแก้ที่พระองค์เอง พระเยซูท่านก็แก้ที่ท่านเอง พระนบีมูฮัมหมัดท่านก็แก้ที่ท่านเอง อย่างพระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไป จะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์อย่างในพระอุโบสถของวัดทั่วไป จะนั่งมองดูพระวรกาย ไม่ได้มองดูหน้าต่างหรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้างนี้ เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองพิจารณาตนเองก่อนเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อน ไม่ใช่คอยจับ ผิดผู้อื่น ซึ่งตามปกติของคนแล้วมัก จะมองเห็นความผิดพลาดของบุคคลอื่น แต่ลืมมองของตนเอง ทำให้สูญ เสียเวลา และโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตนเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัว เราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ ตรัสให้เตือนตนเองว่า “อตฺตนา โจทยตฺตานํ ” = จงเตือนตน ด้วยตนเอง จงเตือนตนของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน ตนเตือนตนเตือนไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ พระเนตรที่มองต่ำ คือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก เพราะนั่นคือบ้านแท้จริง”
เราต้องรู้เข้าใจ เมื่อเรารู้เข้าใจแล้ว เราก็จะได้แก้ไขที่เราทุกคน เราทุกคนถึงจะเป็นผู้ที่มีศีลมีสมาธิมีปัญญา จะได้เข้าถึงปัญญาเข้าถึงสภาวธรรม ความเป็นประภัสสร เราต้องยกเลิกตัวตน ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เพื่อจะไม่ได้เอาความผิด จะไม่ได้เอาทุจริตนำชีวิตเพื่อจะไม่ได้พังทลายด้วยความประมาท ให้เราระลึกถึงปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ – สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” และโอวาทหลวงปู่มั่นที่ท่านสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า…”ความรู้”
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า…”ความเจ็บไข้ได้ป่วย”
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า…”ความรักของพ่อแม่”
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า…”กฏแห่งกรรม”
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า…”ความกตัญญูกตเวที”
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า…”ความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน”